บทคัดย่อ
ในบทความนี้ เราจะอธิบายภาพรวมว่าการสวดได้ผลอย่างไรและควรสวดอย่างไร การสวดมีสองประเภท คือ เพื่อประโยชน์ทางโลกและเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ ดังนั้น ผู้สวดจึงได้รับคำตอบจากแง่มุมที่แตกต่างกันของพระเจ้า การวิจัยทางจิตวิญญาณได้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ ลัง านเชิงลบก็อาจตอบรับคำสวดได้ ซึ่งส่งผลเสียต่อเรา! ระดับจิตวิญญาณของบุคคลเป็นปัจจัย ดียวที่สำคัญที่สุดในการทำให้คำสวดของบุคคลนั้นได้รับคำตอบ การสวดเพื่อสันติภาพโลก แม้จะถือเป็นความคิดอันสูงส่ง แต่มีแนวโน้มสูงที่จะไม่เกิดคำตอบเนื่องจากขาดระดับจิตวิญญาณของผู้คนที่สวด ในทางกลับกัน ผู้คนที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงผ่านการสวดเพียงครั้ง ดี วคือนักบุญ แต่พวกเขาเห็นว่าการสวดเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาสอดคล้องกับพระ ระ งค์ของพระเจ้าทุกประการอยู่แล้ว และไม่เห็นว่าพระประสงค์นั้นแยกจากจุดประสงค์ของตนเอง สุดท้าย ท่วงท่าในการสวดยังช่วยให้คำสวดได้รับคำตอบอีกด้วย
1. บทนำเกี่ยวกับการสวดได้ผลอย่างไร
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือไม่สามารถเอาชนะได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การสูญเสียสิ่งมีค่า, โรคที่รักษาไม่หาย, ปัญหาทางการเงินที่ร้ายแรง ฯลฯ ผู้คนจะสวดต่อพระเจ้าหรือต่อแง่มุมของพระองค์ที่เรียกว่าเทพเจ้า ซึ่งเป็นคำสวดที่คาดหวังในเชิงวัตถุหรือทางโลก
ผู้แสวงหาพระเจ้าซึ่งมุ่งเน้นหลักในชีวิตคือการเติบโตทางจิตวิญญาณจะสวดต่อพระเจ้าเป็นประจำ ไม่เพียงแต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเท่านั้น แต่รวมถึงในสถานการณ์ประจำวันด้วย อย่างไรก็ตาม คำสวดไม่ได้เกี่ยวกับความคาดหวังทางโลกแต่เกี่ยวกับการเติบโตทางจิตวิญญาณ และเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ
บทความนี้จะอธิบายกลไกการตอบรับคำสวดทั้งสองประเภท
เพื่อทำความเข้าใจบทความนี้ได้ดีขึ้น โปรดอ่าน :
- คำจำกัดความของการสวด
- คำสวดแบบมีความคาดหวังกับการไม่คาดหวังต่างกันอย่างไร
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ เมื่อเกิดปัญหาหรือความยากลำบากในชีวิต สาเหตุที่แท้จริงอาจเป็นปัญหาทางร่างกาย, จิตใจ หรือจิตวิญญาณก็ได้ การวิจัยที่ดำเนินการโดย SSRF แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในชีวิตมากถึง 80% มีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ โชคชะตาและบรรพบุรุษผู้ล่วงลับเป็นสองปัจจัยที่สำคัญมากในสาเหตุทางจิตวิญญาณของปัญหาในชีวิต
2. คำสวดได้รับคำตอบรับอย่างไร
2.1 ใครเป็นผู้ตอบรับคำสวดของเรา
- แผนภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าใครตอบรับคำสวดของเรา ขึ้นอยู่กับประเภทของคำสวด โดยทั่วไป คำสวดจะแตกต่างกันไปตามระดับจิตวิญญาณของบุคคล ตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีระดับจิตวิญญาณ 30% มักจะอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ในทางโลก ส่วนบุคคลที่มีระดับจิตวิญญาณ 50% มักจะอธิษฐานขอความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ ดังนั้นคำสวดจึงได้รับคำตอบรับ จากพลังงานที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ในจักรวาล สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้แต่พลังงานเชิงลบก็ตอบรับคำสวด ไม่ว่าจะเพื่อขออันตรายหรือเพื่อล่อลวงบุคคลภายใต้อิทธิพลของพลังงานเชิงลบโดยทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงในตอนแรก ตัวอย่างเช่น ดังที่แสดงในแผนภาพด้านล่าง บุคคลที่อธิษฐานขอให้ผู้อื่นตายจะได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดอ่อนเชิงลบ (a negative subtle-entity) จากนรกชั้นที่ 4 (Pātāl) คำ ธิษฐานเพื่อประโยชน์ทางโลกโดยทั่วไปจะได้รับการตอบสนองจากเทพเจ้าระดับล่างหรือพลังงานเชิงบวกในระดับต่ำ คำสวดเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณจะได้รับการตอบสนองจากเทพเจ้าระดับสูงกว่าและพลังงานเชิงบวกที่สูงกว่า

- เมื่อเราสวดขอพรต่อพระเจ้าหรือเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น ขอให้ได้งานหรือเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ คำอธิษฐานของเราตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น จะได้รับคำตอบจากเทพเจ้าระดับล่างหรือพลังงานบวกที่ต่ำกว่า มาดูตัวอย่างคนที่สวดขอพรอย่างแรงกล้าเพื่อได้งาน หากโชคชะตากำหนดให้คนๆ นี้ต้องตกงานเป็นเวลา 5 ปี พลังงานบวกที่ต่ำกว่าหรือเทพเจ้าระดับล่างจะตอบรับคำสวดนั้นได้โดยการเลื่อนช่วงเวลาว่างงาน 5 ปีนี้ออกไปไว้ในช่วงหลังของชีวิต ดังนั้น คนๆ นี้ก็ยังต้องผ่านช่วงว่างงานอยู่ดี (เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนๆ หนึ่งก็ต้องเผชิญชะตากรรมของตัวเอง และเอาชนะได้ด้วยการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเท่านั้น)
- บางครั้ง เทพเจ้าระดับบนยังช่วยสถานการณ์ทางโลกของผู้แสวงหา หากสิ่งนั้นเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของพวกเขา
2.2 คำสวดได้รับคำตอบรับอย่างไร?
- เมื่อคนๆ หนึ่งสวด เขา/เธอจะนึกถึงพระเจ้าอย่างเข้มข้นและมีบทสนทนาที่ใกล้ชิดกับพระองค์เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่อยู่ใกล้หัวใจของบุคคลนั้นมาก โดยกฎแห่ง reflex action, พระเจ้าก็รู้สึกใกล้ชิดกับเขา/เธอด้วยเช่นกัน
- คำสวดมีพลังที่จะกระตุ้น the Deity principles (ลักษณะของพระเจ้า) ในจักรวาล ความถี่ที่ละเอียดอ่อนที่สุดจะเกิดขึ้นเมื่อเราแสดงความขอบคุณพร้อมกับคำสวด ความถี่เหล่านี้มีพลังที่จะไม่เพียงแต่กระตุ้นแต่ยังสัมผัส the deity ได้ด้วย ดังนั้น ลักษณะของพระเจ้าจึงถูกกระตุ้นได้เร็วขึ้น การกระตุ้น the deity principle (ลักษณะของพระเจ้า) นี้ ส่งผลให้คำสวดสำเร็จลุล่วง เทพเจ้าทำให้คำอธิษฐานสำเร็จลุล่วงด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น (power of resolve) อ้างอิงบทความเกี่ยวกับ a Deity คือใคร?
ตัวอย่างคำสวดที่ตามด้วยความรู้สึกขอบคุณ :
- พระเจ้า โปรดให้ฉันได้งานนี้ ฉันต้องการมันจริงๆ พระเจ้า โปรดรับความรู้สึกขอบคุณของฉันที่ทำให้ฉันคิดที่จะสวด
- พระเจ้า ขอให้ฉันทำกิจกรรมทั้งหมดในวันนี้เป็นการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ พระเจ้า ฉันรู้สึกขอบคุณต่อพระบาทอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ที่ทรงประทานความคิดนี้ให้ฉัน และทำให้ฉันทำคำสวดนี้ได้สำเร็จ
- คำสวดดึงดูดคลื่นความถี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ละเอียดอ่อนเข้าหาบุคคล และส่งผลให้ราชตามะ (the Raja-Tama) ที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นถูกทำลาย ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นจึงกลายเป็นสัทวิก (sāttvik) มากขึ้น เมื่อองค์ประกอบพื้นฐานที่ละเอียดอ่อนของสัทวา (Sattva component) ในสภาพแวดล้อมโดยรอบเพิ่มขึ้น ความคิดของบุคคลนั้นก็ลดลง และความคิดเหล่านั้นก็กลายเป็นสัทวิกด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะจิตใจได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอก
-
ปลอกหุ้ม (kosh) คือส่วนที่ละเอียดอ่อนกว่า และประณีตกว่า ที่ห่อหุ้มส่วนประกอบของร่างกายที่ละเอียดอ่อนแต่ละส่วน ดังนั้น the vital body, mental body, causal body (ปัญญา) และthe supracausal body (subtle ego) ต่างก็มีปลอกหุ้มของใครของมันแยกจากกัน
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ the vital and mental body, โปรดดูที่ “เราประกอบด้วยอะไรบ้าง?”
- การสวด ทำให้อนุภาคของส่วนประกอบพื้นฐาน Sattva ที่ละเอียดอ่อนในเปลือกหุ้ม the vital body (prāṇa-dēha) เพิ่มขึ้น เมื่อเราแสดงความกตัญญู (gratitude) อนุภาคของส่วนประกอบพื้นฐาน Sattva ที่ละเอียดอ่อนในเปลือกหุ้ม the mental body (manodēha) ก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น การสวด ร่วมกับความกตัญญู (gratitude) จะส่งผลให้ the vital body and mental body sheaths ได้รับการชำระล้างทางจิตวิญญาณ เนื่องจากการชำระล้างทางจิตวิญญาณของ the vital body sheath and mental body sheaths, the impressions ในเปลือกหุ้มทั้งสองจึงเริ่มถูกทำลาย เมื่อ the impressions ลดลง ความคิดเกี่ยวกับตัวเองก็ลดลง และความดึงดูดต่อสิ่งต่างๆ ในโลกก็ลดลง สิ่งนี้ทำให้ความปรารถนาต่อพระเจ้า และความปรารถนาที่จะรวมเป็นหนึ่งกับพระองค์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อเปลือกหุ้มทั้งสองได้รับการชำระล้างแล้ว พลังงานเชิงลบก็ไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ โปรดดูบทความเรื่องการสวดช่วยชำระ the impressions ในจิตใจของเราได้อย่างไร
- เมื่อเราสวด เรายอมรับว่าเราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ ดังนั้น เมื่อมองว่าตัวเองด้อยกว่า อัตตาของเราก็ลดลง เมื่ออัตตาลดลง ระดับจิตวิญญาณก็จะสูงขึ้นชั่วคราว ส่งผลให้อนุภาคของส่วนประกอบพื้นฐาน Sattva ที่ละเอียดอ่อนเพิ่มขึ้นชั่วคราว นอกจากนี้ เมื่อเราแสดงความกตัญญู (gratitude) ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะเกิดขึ้นในตัวเรา ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกมากยิ่งขึ้นต่อระดับจิตวิญญาณของเรา ดังนั้น การสื่อสารของเรากับพระเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของอนุภาคของส่วนประกอบพื้นฐาน Sattva ที่ละเอียดอ่อน จะเพิ่มความสามารถของเราในการเอาชนะหรือรับมือกับปัญหา
3. การสวดของเรามีผลเมื่อใด
ในชีวิตของเรา เหตุการณ์ 65% เกิดขึ้นตามโชคชะตา เหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้คือเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ โปรดดูบทความเกี่ยวกับโชคชะตาและการกระทำโดยเจตนา
เหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ ทั้งดีและร้าย ย่อมเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ที่ไม่ดี อาจเป็นความเจ็บป่วยหรือการแต่งงานที่เลวร้าย คนทั่วไปมักจะสวดต่อพระเจ้าเมื่อเกิด หตุการณ์เลวร้ายในชีวิต พวกเขาสวดต่อพระเจ้าเพื่อขอให้เหตุการณ์เลวร้ายบรรเทาลง อย่างไร ตาม เราพบว่าคำสวดของเราไม่ได้รับคำตอบเสมอไป โปรดดูบทความ: โชคชะตาเป็นสาเหตุทางจิตวิญญาณของความยากลำบากในชีวิต
กฎคืออะไร? เมื่อใดการสวดจึงจะลบล้างเหตุการณ์ไม่ดีที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อที่การสวดจะทำให้เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยเราก็ปลอดภัยจากเหตุการณ์นั้น
หลักเกณฑ์คือ :
- หากการสวดนั้นเข้มข้นกว่าความรุนแรงของเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ การสวดนั้นก็จะได้รับคำตอบ
- หากความรุนแรงของโชคชะตานั้นเข้มข้นกว่าการสวด การสวดนั้นก็จะได้รับคำตอบบางส่วนหรือไม่ได้รับคำตอบรับเลย
4. อะไรเป็นตัวกำหนดประสิทธิผลของการสวด
ปัจจัยต่อไปนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการสวด :
- ระดับจิตวิญญาณของผู้ที่สวดภาวนา – ยิ่งระดับจิตวิญญาณสูงขึ้นเท่าใด คำภาวนาก็ยิ่งมีพลังและประสิทธิผลมากขึ้นเท่านั้น
- คุณภาพของคำภาวนา – ขึ้นอยู่กับว่าคำภาวนาเป็นไปในลักษณะกลไก (กล่าวโดยปราศจากความรู้สึก), มาจากใจจริง, หรือมีอารมณ์ทางจิตวิญญาณ (bhāv) จากผู้แสวงหา (the seeker)
- สวดภาวนาเพื่อใคร (เพื่อตนเองหรือผู้อื่น) – เมื่อเราสวดภาวนาเพื่อผู้อื่น จำเป็นต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณมากกว่า ยิ่งจำนวนผู้คนในสังคมที่เราต้องการให้ได้รับผลกระทบจากคำภาวนามีมากเท่าใด พลังจิตวิญญาณที่ต้องใช้ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงนักบุญในระดับสูงเท่านั้นที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
- อัตตา (Ego) – อัตตาที่ต่ำกว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิผลของคำภาวนา
- ท่าทางของการสวดภาวนา (มุทรา – mudrā) ที่บุคคลใช้ – เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมามักมีน้อย ในผู้คนทั่วไป
4.1 ระดับจิตวิญญาณของบุคคลและการสวดภาวนา
ระดับจิตวิญญาณของผู้ที่สวดภาวนาเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่กำหนดประสิทธิผลของคำภาวนา
- สำหรับผู้แสวงหาที่ระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่า 60% ไม่จำเป็นต้องสวด พวกเขากระทำจากอารมณ์/ความรู้สึกทางจิตวิญญาณที่ว่า ‘ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า’ พวกเขาสัมผัสได้ว่าทุกสิ่งในชีวิตของพวกเขาเกิดขึ้นและได้รับการจัดเตรียมโดยพระคุณของพระเจ้า จิตใจของพวกเขาอยู่ในสภาวะแห่งความกตัญญูต่อพระเจ้าตลอดเวลา เมื่อบรรลุสภาวะนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสวดอีก
- การสวดของผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณต่ำกว่า 30% ขาดประสิทธิภาพ และในกรณีที่ดีที่สุดก็ให้ประโยชน์ทางจิตใจแก่พวกเขาเท่านั้น นั่นเป็นเพราะการมีอยู่ของอัตตามากเกินไป จนไม่สามารถสวดให้ถึงหลักการของพระเจ้า (the deity principle) ได้
- ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่าการสวดได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณระหว่าง 30-60%
โปรดดูบทความเรื่อง ‘การแบ่งประชากรโลกตามระดับจิตวิญญาณ‘
เป็นครั้งคราว เราได้ยินคำเรียกร้องจากบางคน ให้มารวมตัวกันและสวดภาวนาเพื่อสันติภาพของโลก หรือเพื่อสาเหตุอันสูงส่ง เช่น การลดภาวะโลกร้อน จากมุมมองของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง นี่เป็นเพียงความพยายามทางจิตวิทยาเท่านั้น เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญๆ ของโลกมีพื้นฐานทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง และสามารถเอาชนะได้ด้วยความพยายามทางจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการสูง เช่น นักบุญในลำดับสูงเท่านั้น แม้ว่าผู้คนนับล้าน (ที่มีระดับจิตวิญญาณปาน ลาง) จะมารวมตัวกันและสวดภาวนาแบบเดียวกันเพื่อเหตุการณ์สำคัญของโลก แต่ก็เหมือนกับมดหลายตัวที่พยายามยกก้อนหิน
หมายเหตุ: บางคนอาจคิดว่า หากนักบุญสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ทำไมพวกเขาจึงไม่จัดการสันติภาพของโลกหรือการลดภาวะโลกร้อน? ความขัดแย้งคือ แม้ว่านักบุญจะมีความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ของโลก แต่พวกเขาก็มีอารมณ์ทางจิตวิญญาณที่ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด นอกจากนี้ เนื่องจากพวกเขาอยู่ใน “สถานะผู้สังเกตการณ์” (sakshibhāv) โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการของพระเจ้า และเป็นไปตามแผนการของพระองค์อย่างสมบูรณ์ พวกเขามีความตระหนักรู้เต็มที่ว่า ตามแผนของพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นตามชะตากรรมของแต่ละบุคคลและส่วนรวม (เหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้คือเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเราซึ่งเกิดขึ้นเนื่องมาจากการกระทำใน
5. ท่าสวดที่ดีที่สุดคืออะไร และควรสวดอย่างไร
จากการวิจัยทางจิตวิญญาณ SSRF ได้ระบุและแนะนำท่ามุทรา (mudra) หรือท่าต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ (divine energy) สูงสุดผ่านการสวด
ภาพวาดต่อไปนี้ซึ่งใช้ความรู้ที่ละเอียดอ่อนแสดงให้เห็น 2 ขั้นตอนในท่ามุทรานี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในระดับจิตวิญญาณเมื่อบุคคลสวด
5.1 คำอธิบาย ท่าสวดภาวนาขั้นที่ 1

ขั้นตอนแรกในมุทราคือการยกมือขึ้นสวด โดยให้หัวแม่มือแตะจักระหว่างคิ้ว (Ādnyā-chakra) (ศูนย์พลังงานทางจิตวิญญาณที่บริเวณหว่างคิ้ว) เบาๆ ควรเริ่มสวดหลังจากที่เราอยู่ในท่านี้แล้ว
เมื่อเราก้มศีรษะในท่าสวดนี้ อารมณ์ทางจิตวิญญาณแห่งการยอมจำนนในตัวเราจะตื่นขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นคลื่นความถี่ที่ละเอียดอ่อนที่เหมาะสมของเทพเจ้าจากจักรวาล คลื่นความถี่ศักดิ์สิทธิ์ (divine) เหล่านี้จะเข้ามาทางปลายนิ้วของเรา ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับ คลื่นความถี่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะถูกส่งต่อเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านหัวแม่มือไปยังจักระหว่างคิ้ว ผลลัพธ์คือพลังงานทางจิตวิญญาณเชิงบวกในตัวเราเพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้สึกเบาสบายขึ้นหรือบรรเทาอาการทุกข์ทางกายหรือใจได้
5.2 คำอธิบาย ขั้นที่ 2 ของท่าอธิษฐาน

เมื่อสวดเสร็จแล้ว ควรทำท่ามุทราท่าที่สอง ตามภาพที่แสดงตามความรู้ที่ละเอียดอ่อนข้างต้น นั่นหมายความว่าแทนที่จะเอามือลงทันที ให้วางมือทั้งสองไว้บริเวณกลางอกโดยให้ข้อมือแตะหน้าอก วิธีนี้จะช่วยให้ดูดซับ the Divine consciousness (Chaitanya) ของหลักการของพระเจ้า (the deity principle) ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น ในตอนแรก the Divine consciousness ของหลักการของพระเจ้า (the deity principle) ที่เข้าสู่ปลายนิ้วจะถูกส่งไปยังบริเวณหน้าอก ซึ่งเป็นที่นั่งของจักระหัวใจ (Anāhat-chakra) เช่นเดียวกับจักระหว่างคิ้ว จักระหัวใจก็ดูดซับความถี่สัตตวิก (sattvik frequencies) ด้วย การที่ข้อมือสัมผัสกับหน้าอก จะทำให้จักระหัวใจถูกแอคติเวท และช่วยให้ดูดซับความถี่สัตตวิกได้มากขึ้น เมื่อถูกแอคติเวทแล้ว จักระหัวใจจะปลุกอารมณ์ทางจิตวิญญาณและความศรัทธาของผู้แสวงหา
ในขั้นตอนนี้ของท่าการสวดมุทรา เราควรใคร่ครวญในตนเองและไตร่ตรองถึงประสบการณ์ของการอยู่ต่อหน้าพระเจ้า
5.2.1 วิธีการสวด – ตำแหน่งของศีรษะที่ถูกต้องขณะสวด


ข้อควรทราบในการสวดอย่างถูกต้อง :
- ร่างกายควรน้อมลงและไม่ตั้งตรง
- นิ้วควรขนานกับหน้าผาก นิ้วไม่ควรเกร็งแต่ควรผ่อนคลาย
- นิ้วควรสัมผัสกัน ไม่ควรกางนิ้วออกจากกัน
- นิ้วหัวแม่มือควรสัมผัสเบาๆบริเวณจักระหว่างคิ้ว
- มือต้องกดเข้าหากันเบาๆ โดยเว้นระยะห่างเล็กน้อยระหว่างฝ่ามือ ในกรณีของผู้แสวงหาที่ระดับจิตวิญญาณสูงกว่า 50% ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างระหว่างฝ่ามือ
5.3 เมื่อสวดด้วยอารมณ์ทางจิตวิญญาณ
ภาพวาดต่อไปนี้ซึ่งอิงจากความรู้ที่ละเอียดอ่อน แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่มีระดับจิตวิญญาณ 50% สวดด้วยอารมณ์ทางจิตวิญญาณ สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ผู้คนในบริเวณใกล้เคียงก็ได้รับประโยชน์จาก the Divine consciousness ที่บุคคลนั้นเข้าถึง (อ้างอิงจากส่วนของภาพวาดที่อาศัยความรู้อันละเอียดอ่อน ซึ่งแสดงให้เห็น 5% ของความถี่ของ Divine consciousness ที่ถ่ายทอดออกไปนอกร่างกาย) นี่คือสาเหตุว่าทำไมจึงสังเกตได้บ่อยครั้งว่า เมื่อผู้คนสวดด้วยอารมณ์ทางจิตวิญญาณ อารมณ์ทางจิตวิญญาณในผู้อื่นบริเวณใกล้เคียงก็จะถูกกระตุ้นด้วยเช่นกัน
5.4 หมายความว่าทุกครั้งที่เราสวด เราควรอยู่ในท่านี้หรือไม่?
หากบุคคลนั้นอยู่ที่ระดับจิตวิญญาณที่สูง (มากกว่า 50%) คลื่นความถี่อันละเอียดอ่อน (จับต้องไม่ได้) ของพระเจ้า (divine) จะเริ่มได้รับโดยตรงผ่านพรหมันธระ (the Brahmarandhra) เอง พรหมันธระ (the Brahmarandhra) เป็นช่องเปิดที่ละเอียดอ่อนเหนือจักระมงกุฎ (สหัสราร-จักระ) (ตามวิทยาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของกุณฑลินีโยคะ) ซึ่งสามารถเข้าถึงจิตและสติปัญญาของจักรวาล (the Universal Mind and Intellect) ได้ ช่องเปิดที่ละเอียดอ่อนนี้ปิดในผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณที่ต่ำ ปัจจัยหลักที่ช่วยให้พรหมันธระ (the Brahmarandhra) เปิดขึ้นคือระดับอัตตาที่ต่ำ เมื่ออยู่ในช่วงนี้ของการเติบโตทางจิตวิญญาณของเรา ความต้องการท่ามุทราในการสวดตามที่อธิบายไว้ข้างต้นจะน้อยลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม หากบุคคลที่มีระดับจิตวิญญาณระหว่าง 50% ถึง 80% เสริมการสวดของเขาด้วยมุทราที่แนะนำ เขาก็จะได้รับผลประโยชน์จาก Divine consciousness เพิ่มเติม ประโยชน์เพิ่มเติมนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ในกรณีของคนที่ระดับจิตวิญญาณ 50% และจะค่อยๆ ลดลงตามสัดส่วนเมื่อระดับจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีระดับจิตวิญญาณสูง พวกเขาจึงไม่สามารถรับคลื่นความถี่ศักดิ์สิทธิ์ (Divine) ผ่านพรหมันธระ (the Brahmarandhra) ได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ (ระดับจิตวิญญาณ 30–60%) สามารถรับคลื่นความถี่ที่ละเอียดอ่อนผ่านปลายนิ้วได้ (แม้ว่าจะน้อยกว่ามาก) เนื่องจากปลายนิ้วของเราไวต่อการรับหรือส่งพลังงานที่ละเอียดอ่อนมาก สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับนี้ ควรใช้ท่ามุทราสวดที่แนะนำข้างต้นในการสวด โดยปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมดยังคงเท่าเดิม หากสวดโดยใช้มุทราที่แนะนำ บุคคลนั้นจะเพิ่มประสิทธิภาพการสวดได้ 20% เมื่อเทียบกับการไม่ใช้มุทรานี้
5.5 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของท่าทางการสวด
เราต้องเผชิญกับท่าทางมือต่างๆ มากมายในการสวด เมื่อทำการวิจัยทางจิตวิญญาณเกี่ยวกับท่าทางมือต่างๆ (มุทรา) ที่เกี่ยวข้องกับการสวด เราพบสิ่งต่อไปนี้ในแง่ของประสิทธิผล :
ประสิทธิภาพของท่าสวดต่างๆ
ท่าสวด | เปรียบเทียบประโยชน์ทางจิตวิญญาณ1 | ระดับของพลังงานบวก ที่สามารถเข้าถึงได้2 |
ปริมาณ พลังงานบวก ที่สามารถเข้าถึงได้3 |
การรบกวนจากพลังงานลบ4 |
---|---|---|---|---|
![]() |
8% | สูง | 30% | 2% |
![]() |
4% | ปานกลาง | 10% | 4% |
![]() |
2% | ต่ำ | 5% | 5% |
![]() |
2% | ต่ำ | 5% | 5% |
เชิงอรรถ :
- 100% คือการได้รับประโยชน์ทางจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้เข้าถึงพระเจ้าได้ (God-realisation)
- ระดับของหลักการเทวรูปที่ปรากฏออกมาให้เห็น (the manifest deity principle) ได้แก่ เทพระดับสูง, กลาง หรือต่ำ
- เปอร์เซ็นต์ของหลักการเทวรูป (deity principle) ที่ได้รับการเข้าถึง
- สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่พลังงานลบจะเข้ามาขัดขวางการสวด เพื่อลดศรัทธาของผู้แสวงหา พลังงานลบจะเข้ามาขัดขวางการสวด ทำให้การสวดไม่ได้รับคำตอบ จึงทำให้ศรัทธาของบุคคลนั้นลดลง
ลองทำการทดลองอันละเอียดอ่อนด้วยตัวคุณเอง โดยสวดภาวนาแบบเดียวกันโดยใช้มุทราแต่ละแบบข้างต้นแยกกัน
ในบางกรณี ผู้คนจะจับมือกันและสวด นี่ถือเป็นการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะหากคนข้างๆ เราได้รับผลกระทบจากพลังงานเชิงลบ มีแนวโน้มว่าพลังงานดำจะถ่ายโอนมายังเรา
อ้างอิงจากบทความเรื่อง ‘ประชากรโลกได้รับผลกระทบจากพลังงานลบมากเพียงใด‘
6. ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกของการสวด
- โดยทั่วไปแล้ว ระดับจิตวิญญาณของบุคคลจะกำหนดว่าบุคคลนั้นสวดเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณหรือเพื่อประโยชน์ทางโลก เทพเจ้าระดับสูงหรือระดับต่ำกว่า ตามลำดับ จะตอบคำอธิษฐานของบุคคลนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของการสวด
- อารมณ์ทางจิตวิญญาณที่คนๆ หนึ่งสวด ส่งผลดีต่อประสิทธิผลของการสวด
- ประโยชน์ที่ได้รับจากการสวดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของมุทราที่ใช้
- หากปัจจัยอื่นๆ เท่ากัน การใช้มุทรา (ท่าทาง) ที่แนะนำสำหรับการสวด จะช่วยเพิ่มโอกาสที่คำอธิษฐานจะได้รับคำตอบได้ 20%
- การสวดของคนที่มีระดับจิตวิญญาณต่ำ เพื่อสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อประชากรในวงกว้าง เช่น สันติภาพโลกหรือการลดภาวะโลกร้อน จะไม่มีผลใดๆ
- เมื่อแสดงความขอบคุณ (gratitude) พร้อมกับการสวด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการสวด